อาการชาสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อย คือ บริเวณมือและเท้า เช่น มือชา เท้าชา ชาปลายนิ้วมือ โดยลักษณะของอาการชาอาจเป็นได้ทั้งสูญเสียความรู้สึก รู้สึกแบบผิวหนังหนาๆ เป็นปื้นๆ หรือมีความรู้สึกที่แสดงออกมากกว่าปกติ เช่น ยิบๆ ซ่าๆ เหมือนเข็มทิ่ม ปวดแสบร้อน เสียวคล้ายไฟช็อต โดยลักษณะของอาการชาเหล่านี้ อาจเป็นอาการของโรคหรือเป็นสัญญาณแรกของโรค เช่น อาการชาจากการขาดวิตามิน จากโรคเบาหวาน และสาเหตุอื่นๆ ดังนี้
อาการมือชา เท้าชาสามารถเกิดจากหลายสาเหตุได้แก่
- ปัญหาทางประสาท อาการชาอาจเกิดจากการกดทับหรือการเสียหายของเส้นประสาท เช่น จากโรคริดสีดวงประสาทหลัง (herniated disc) หรือโรคปลอกประสาทอักเสบ (neuropathy) ที่เกิดจากเบาหวานหรือการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- การไหลเวียนของเลือดไม่ดี หากเลือดไม่ไหลเวียนไปยังบริเวณปลายมือหรือเท้าได้อย่างเพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการชา เช่น ในกรณีของโรคหลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis) หรือภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
- ขาดวิตามินวิตามิน บี12 วิตามิน E ทำให้เกิดอาการชา
- ปัญหาในกระดูกสันหลัง เช่น การอักเสบ หรือความเสียหายที่กระดูกสันหลัง อาจทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท
- ภาวะเครียดหรือวิตกกังวล บางครั้งอาการชาอาจเกี่ยวข้องกับความเครียดหรือภาวะวิตกกังวล ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายได้
- โรคอื่นๆ เช่น โรคไขข้ออักเสบ หรือโรคลูปัส อาจมีอาการชาเป็นหนึ่งในอาการของโรค
การป้องกันไม่ให้มีอาการมือชา เท้าชา
- รับประทานวิตามินบีอย่างเพียงพอ เพราะวิตามินบีมีส่วนช่วยในการทำงานของปลายประสาท ป้องกันการเกิดอาการมือเท้าชา
- อย่านอนทับแขน หรืออยู่ท่าเดิมนานๆ เพราะจะทำให้เส้นประสาทถูกกดทับ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกจนก่อให้เกิดอาการชาในที่สุด
- ควรรับประทานผักผลไม้ เพราะผักผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก นอกจากจะช่วยลดการเกิดอาการมือเท้าชาแล้ว ยังช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย
- ดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการมือเท้าชา เช่น โรคเบาหวาน โรครูมาตอยด์
ทั้งนี้อาการมือชา เท้าชานั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุทั้งจากสาเหตุที่ไม่เป็นอันตราย และอันตราย จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณอันตรายของโรคร้ายบางโรค หรือเป็นสัญญาณของภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ซึ่งอาจเสี่ยงต่ออาการอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ค่ะ